บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

วิชาธรรมกาย


เนื่องจากผู้เขียนบทความเป็นวิปัสสนาจารย์สอนการปฏิบัติธรรมแบบวิชาธรรมกาย ซึ่งก็บอกอย่างชัดแจ้งว่า ผู้เขียนเห็นว่าวิชาธรรมกายถูกต้องตรงตามพระไตรปิฎก  การอธิบายศาสนาพุทธในบทความนี้ จึงจะอธิบายศาสนาพุทธแบบวิชาธรรมกาย

สายปฏิบัติธรรมแทบทั้งหมดในประเทศไทย  ยกเว้นสายวิชาธรรมกายจะปฏิเสธ "การเห็น" ในขณะการปฏิบัติธรรม

กล่าวคือ ในการปฏิบัติธรรมนั้น จะไม่ยอมให้ภาพใดๆ เกิดขึ้น ถ้ามีภาพเกิดขึ้น ให้ขจัดออกไป เนื่องจากเห็นว่า ภาพดังกล่าวเป็นนิมิตลวง ซึ่งจะขัดขวางการปฏิบัติธรรม

อย่างไรก็ดี ในการปฏิบัติธรรมนั้น มีอยู่ 2 วิธีคือ สมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน  คำว่า วิปัสสนานั้นแปลว่า เห็นแจ้ง

ดังนั้น เมื่อพิจารณาในทางภาษาศาสตร์แล้ว การปฏิบัติธรรมจะต้องมี การเห็นเป็นหลักสำคัญ  และจะต้องไม่เป็นการเห็นแบบคลุมเครือ แต่ต้องเป็นการเห็นอย่างแจ่มแจ้งอีกด้วย

ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น พระพุทธเจ้าก็ต้องทรงใช้ศัพท์อื่นไปแล้ว นอกจากชื่อจะบ่งแสดงให้เห็นว่า วิปัสสนาต้องมี การเห็นเป็นองค์ประกอบสำคัญ ยังมีพระสูตรเป็นจำนวนมากที่สนับสนุนว่า วิปัสสนาต้องมี "การเห็น"

ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นพระสูตรแรกที่พระพุทธเจ้าทรงเลือกมาสอนปัจจวัคคีย์ และน่าจะเป็นพระสูตรที่สำคัญมาก เพราะ พระพุทธเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วด้วยวิธีการใด

ในพระสูตรนี้พระองค์ได้ทรงกล่าวกับปัจจวัคคีย์ว่า ไม่ควรทรมานตนเองให้ลำบาก และหมกมุ่นอยู่ในกาม เพราะไม่เป็นประโยชน์ ต่อจากนั้นพระองค์ทรงกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์มีดวงตาเกิดขึ้น แล้วญาณ/ความรู้จึงเกิดตามขึ้นมา  ดังนี้

  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปฏิปทาสายกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั้น นั่นตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ปฏิปทาสายกลางที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตาให้เกิด ทำญาณให้เกิด ย่อมเป็นไปเพื่อความสงบ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานนั้น เป็นไฉน?

จะเห็นได้ว่า..... พระองค์ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงทำดวงตาให้เกิด และทำญาน/ความรู้ให้เกิด ทั้งดวงตาและญาน/ความรู้นั้นจะทำให้บรรลุพระนิพพานได้ ต่อจากนั้น พระองค์ทรงอธิบายต่อถึงเรื่องอริยสัจ 4 ซึ่งรวมถึงมรรค 8 ด้วย หลังจากพระองค์ตรัสว่า

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขอริยสัจ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล ควรกำหนดรู้.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า ทุกขอริยสัจนี้นั้นแล เราก็ได้กำหนดรู้แล้ว.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดวงตา ญาณ ปัญญา วิทยา แสงสว่าง ได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่เราไม่เคยฟังมาก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัยอริยสัจ

พระองค์ตรัสข้อความดังกล่าว 3 รอบ รอบแรกทรงกล่าวว่า พระองค์รู้จักอริสัจ 4   รอบที่สองทรงกล่าวว่า จะทำอะไรกับอริสัจ 4 และรอบที่สาม ทรงกล่าวว่า ได้ทำอะไรไปแล้วกับอริยสัจ 4 ซึ่งเมื่อกระทำแล้วพระองค์จึงบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ

ข้อความในส่วนนี้ก็เช่นเดียวกัน พระองค์ตรัสว่า ดวงตาของพระองค์เกิดขึ้น ญาณ/ความรู้จึงเกิดขึ้น ต่อจากนั้น ปัญญา วิทยา/วิชา และแสงสว่างจึงเกิดขึ้นมาตามลำดับ

ต่อจากนั้นมา พระสูตรนี้กล่าวว่า....

ก็แลเมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสไวยาก รณภาษิตนี้อยู่ ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นแก่ท่านพระโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา

จะเห็นได้ว่า ในขณะที่พระพุทธเจ้าตรัสธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อยู่นั้น ปัจจวัคคีย์ก็ปฏิบัติธรรมตามไปด้วย เมื่อใจสงบเป็นหนึ่งเดียว/เอกัคคตารมณ์แล้ว พระโกณฑัญญะจึงมีดวงตาคู่ใหม่เกิดขึ้น

ดวงตาคู่ใหม่นี้เห็น ธรรมซึ่งผ่องใส ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน เมื่อพระโกณฑัญญะเห็นธรรมแล้ว จึงกล่าวขอบรรพชาอุปสมบท

   ครั้งนั้น ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะ ได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรม แจ่มแจ้งแล้ว  มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดา ได้ทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ขอข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้อุปสมบท ในสำนักพระผู้มีพระภาคพระพุทธเจ้าข้า

จากธัมมจักกัปปวัตตนสูตรข้างต้น คำว่าดวงตานั้นต้องไม่ใช่ดวงตาที่เป็นตาเนื้อของพระพุทธเจ้าและปัจจวัคคีย์ เพราะ ตาเนื้อนั้นมนุษย์ทุกคนต้องมีมาตั้งแต่เกิดแล้ว  แสดงว่า ดวงตาในพระสูตรนี้ต้องเป็นดวงตาชนิดอื่น

มีนักวิชาการเป็นจำนวนมากที่อธิบายคำว่า เห็นในพระสูตรนี้เป็นไปในทำนองว่า เข้าใจหรืออธิบายคำว่า เห็นเป็นเพียงชื่อของปัญญา

บางท่านก็กล่าวว่า เป็นสภาวธรรม โดยไม่อธิบายให้ชัดเจนว่า เป็นสภาวธรรมอย่างไร ซึ่งผู้เขียนเห็นว่าไม่ถูกต้อง

คำว่าเห็นจะต้องอาศัยอายตนะตาเป็นเครื่องมือ ซึ่งตาหรือจักษุอื่นๆ ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระสุตตันตปิฎก เล่ม21 ขุททกนิกาย มหานิทเทส ดังนี้

   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เราย่อมเห็นหมู่สัตว์นี้ไปในตัณหาในภพทั้งหลาย ดิ้นรนอยู่ในโลก  นรชนทั้งหลายที่เลว ยังไม่ปราศจากตัณหาในภพน้อยภพใหญ่ ย่อม ร่ำไรใกล้ปากมัจจุ.  สัตว์ดิ้นรนอยู่ในโลกเพราะตัณหา
   คำว่า เราย่อมเห็น ... ดิ้นรนอยู่ในโลก มีความว่า คำว่า ย่อมเห็น คือ ย่อมเห็น ย่อมแลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู ด้วยมังสจักษุบ้าง ทิพยจักษุบ้าง ปัญญาจักษุบ้าง พุทธจักษุบ้าง สมันตจักษุบ้าง  คำว่า ในโลก คือ ในอบายโลก มนุษยโลก เทวโลก ขันธโลก  ธาตุโลก อายตนโลก. คำว่า ดิ้นรนอยู่ คือ เราย่อมเห็น ย่อมแลดู ตรวจดู เพ่งดู พิจารณาดู [ซึ่งหมู่สัตว์นี้] ดิ้นรน กระเสือกกระสน ทุรนทุราย หวั่นไหว เอนเอียง กระสับกระส่ายไปมา

จากพระสูตรดังกล่าวจะเห็นว่า พระพุทธเจ้าตรัสก่อนว่า พระองค์เห็นหมู่สัตว์ทั้งหลายดิ้นรนอยู่ในโลกเพราะตัณหา พระองค์ทรงใช้คำที่ต้องใช้ตาเป็นเครื่องมือแทบจะคลอบคลุมทั้งหมด คือ เห็น แลดู ตรวจดู พิจาณาดู ด้วยดวงตา 5 ประเภทคือ
  • มังสจักษุ/ตาเนื้อ
  • ทิพยจักษุ
  • ปัญญาจักษุ
  • พุทธจักษุ
  • สมันตจักษุ
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การเห็นธรรมของพระพุทธเจ้าและพระปัจจวัคคีย์นั้น ต้องเห็นด้วยทิพยจักษุ, ปัญญาจักษุ, พุทธจักษุ หรือสมันตจักษุ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรืออาจจะหลายอย่างแต่ต่างกรรมต่างวาระกัน...

บทความในชุดเดียวกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น