บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

อ่านตรงนี้ก่อน

ดินแดนแหลมทองของไทยเรานี้ ก่อนหน้าที่ศาสนาจะเข้ามาเผยแพร่ เรานับถือ “ผี” กันมาก่อน  เมื่อศาสนาเข้ามาในดินแดนแห่งนี้

บรรพบุรุษของเราก็รับมาหมด ไม่มีรังเกียจศาสนาใดๆ  ไม่ว่าจะเป็นศาสนาพราหมณ์-ฮินดู คริสต์ อิสลาม

เมื่อรับเข้ามาแล้ว เราก็ไม่ทิ้งเรื่องผีไป  ในประเทศไทยจึงมี “ความเชื่อ” ต่างๆ ผสมผสานกัน จนบางทีแยกไม่ออกว่า อะไรคืออะไร

เมื่อวิทยาศาสตร์กับปรัชญาเข้ามาในประเทศของเราในตอนต้นรัชกาลที่ 4  เราก็รับเข้ามาอีก  ประเด็นที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ผมแยกเขียนไว้ใน http://religionsciemce.blogspot.com/ นี้แล้ว

ณ ที่นี้ จึงจะนำเสนอเฉพาะปรัชญากับศาสนาเท่านั้น

ปรัชญากับศาสนานั้นไปกันไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการหาองค์ความรู้ ความประพฤติของเจ้าของทฤษฎี  ยกตัวอย่างเช่น

1) นักปรัชญาคิดตามหลักเหตุผลอย่างเดียว ไม่ปฏิบัติ  นั่งคิดนอนคิดไป ไม่เคยไปลองปฏิบัติหรือลองสัมผัสพื้นที่

ศาสนาพุทธอ่านอย่างเดียว ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น ท่านเรียกว่า “เถรใบลานเปล่า”  ต้องปฏิบัติด้วย

ด้วยเหตุนี้  ในนรกจึงมีพระจำนวนมากตกลงไป 

สำหรับพระภิกษุในยุคนี้ ถ้าเปรียบเทียบอัตราร้อยละ ดีไม่ดี พระลงนรกมากกว่าฆราวาสเสียอีก

2) สิ่งที่สอน นักปรัชญาจะไม่ปฏิบัติตามก็ได้  คือ คิดแล้วนำเสนอออกไป แต่ตัวเองไม่ต้องทำแบบนั้นก็ได้

นักปรัชญาจะสอนให้คนทำดี มีจริยธรรม แต่ตัวเองจะทำตัวอย่างไรก็ได้ ไม่ว่ากัน 

ทางศาสนาพุทธไม่ได้  ท่านต้องปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และสอนไปตามนั้น

3) ปรัชญาใช้ความเป็นเหตุเป็นผล (rationalization)

คำสอนของศาสนาพุทธเป็น “ความเป็นจริง” (reality) แล้ว  เนื้อหาคำสอนเป็น “ความจริง” (truth) ทั้งสิ้น

เมื่อพุทธวิชาการกับพระภิกษุนิยมเรียนปรัชญา ก็หันไป “สมาทาน” ปรัชญาว่าเป็นจริงกว่าศาสนาพุทธ

เมื่อพุทธวิชาการกับพระภิกษุเหล่านี้ จึงทำให้คำสอนของพระไตรปิฎกผิดเพี้ยนไปทั้งหมด หาสาระที่ควรจะเป็นไม่ได้

บล็อกนี้ จะนำความผิดบกพร่องของนักปรัชญา-พุทธวิชาการ-นักปริยัติ มานำเสนอและวิพากษ์วิจารณ์  เพื่อสร้างความถูกต้องให้กับศาสนาพุทธของเราต่อไป...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น