หลังจากทรงสอนธัมมจักรกัปปวัตนสูตรแก่ปัจจวัคคีย์ไปแล้ว ปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 คนดังกล่าวมีดวงตาเห็นธรรมในระยะเวลาไล่เลี่ยกันแต่ไม่พร้อมกัน กล่าวคือ พระอัญญาโกณฑัญญะ มีดวงตาเห็นธรรมก่อน
หลังจากนั้นพระวัปปะกับพระภัททิยะมีดวงตาเห็นธรรมต่อมา และคู่สุดท้ายที่มีดวงตาเห็นธรรมก็คือ พระมหานามะกับพระอัสสชิ
การได้ฟัง สอนธัมมจักรกัปปวัตนสูตรจากพระพุทธเจ้าดังกล่าว ไม่ได้ทำให้พระปัจจวัคคีย์ทั้ง 5 รูป บรรลุพระอรหันต์ สันนิษฐานว่า คงติดอยู่กับเรื่อง “อัตตาแบบพราหมณ์”
หลังจากนั้นมา พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนอนัตตลักขณสูตร หลังจากได้ฟังพระสูตรนี้แล้ว พระปัจจวัคคีย์จึงบรรลุพระอรหันต์ทั้ง 5 รูป
อนัตตลักขณสูตรเริ่มต้นด้วยคำสอนที่ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอนัตตา ไม่ได้เป็นอัตตาแบบพราหมณ์อย่างที่พระปัจจวัคคีย์ยังมีความเห็นความเชื่อ เช่นนั้นอยู่
การที่พระปัจจวัคคีย์เห็นว่า ที่ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอัตตาแบบพราหมณ์จึงทำให้ไม่สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้ หลังจากนั้นพระองค์จึงตรัสถามพระปัญจวัคคีย์ ดังนี้
ตรัสถามความเห็นของพระปัญจวัคคีย์
พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความนั้นเป็นไฉนรูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า?
ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า
ในข้อความข้างต้นนั้น มีคำว่า “ความเห็น” ซึ่งในภาษาที่ใช้กันในชีวิตประจำวันจะตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า opinion; view; viewpoint; idea; suggestion; assumption; belief; thought เป็นต้น
“ความเห็น” ในภาษาที่ใช้ในชีวิตประจำวันอาจจะเกิดมาจาก การเห็น การอ่าน การฟัง แล้วมาคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ให้เกิดเป็นความเห็นขึ้นมา แต่ในพระสูตรดังกล่าวนี้ พระพุทธเจ้ามีพระประสงค์จะทรงถามความเห็นที่เกิดจาก “การเห็น” (seeing) จริงๆ
จะสังเกตได้จากข้อความ ที่ว่า “ควรหรือจะตามเห็น” สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา?
หลังจากที่ตรัสถามความเห็นของปัจวัคคีย์จนครบทั้งรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณแล้ว พระองค์ตรัสต่อไปว่า
ตรัสให้พิจารณาโดยยถาภูตญาณทัสสนะ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูปอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน ภายในหรือภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ไกลหรือใกล้ ทั้งหมดก็เป็นแต่ สักว่ารูป เธอทั้งหลายพึงเห็นรูปนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตนของเรา
.............................................................................................................................
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในรูป ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในสังขารทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายแม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมสิ้นกำหนัด เพราะสิ้นกำหนัด จิตก็พ้นเมื่อจิตพ้นแล้ว ก็รู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้นทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ได้อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ขอให้สังเกตข้อความในพระสูตรส่วนนี้ จำนวน 3 ข้อความนี้ “ยถาภูตญาณทัสสนะ”, “เห็นรูปนั้น”, “อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้”
คำว่า ยถาภูตญาณทัสสนะ แปลว่า การรู้เห็นตามความเป็นจริง ซึ่งเมื่อคำนึงถึงธัมมจักกัปปวัตนสูตรที่กล่าวไปแล้วว่า พระองค์ทรงทำดวงตาให้เกิด หลังจากนั้นมาจึงทรงทำญาน/ความรู้ให้เกิด
ดังนั้น การรู้เห็นในพระสูตรนี้จึงเกิดจาก “การเห็น” และ “การรู้” หรือเมื่อเห็นแล้วจึงรู้ และเป็นการรู้การเห็นตามความเป็นจริงด้วย ซึ่งสามารถยืนยันได้จากข้อความที่ต่อมาว่า เธอทั้งหลายพึงเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณด้วยปัญญาอันชอบ
ข้อความที่ยืนยันได้อย่างชัดแจ้งที่สุดก็คือ ข้อความที่ว่า “อริยสาวกผู้ได้ฟังแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้” ข้อความนี้แสดงว่า ในขณะที่พระพุทธเจ้าตรัสเทศน์สั่งสอนอยู่นั้น พระปัจจวัคคีย์ได้ปฏิบัติธรรมตามไปด้วย ขณะที่หูได้ยินหรือกำลังฟังอยู่ ใจ/จิต/วิญญาณก็กระทำตามไปด้วย
จึง “เห็น” ตามไปตามคำที่พระองค์สอน เมื่อทั้งฟังทั้งเห็นตามความเป็นจริง พระปัจจวัคีย์จึงบรรลุพระอรหันต์ทั้ง 5 รูป
จากหลักฐานจากพระไตรปิฎกและที่อธิบายมาข้างต้น โดยยกธัมมจักกัปปวัตนสูตรและอนัตตลักขณสูตรซึ่งเป็นพระสูตรแรกและพระสูตรที่สองที่พระพุทธเจ้านำมาทรงสอนปัจจวัคคีย์ดังกล่าว
แสดงให้เห็นว่า ในการปฏิบัติธรรมให้เพื่อ “รู้” และ “เข้าใจ” ในหัวข้อธรรมะต่างๆ ต้องมี “การเห็น” (seeing) ด้วยตา คือ ตั้งแต่ตาเนื้อของร่างกายตลอดจนตาภายใน
อย่างไรก็ดี เพื่อให้ข้อเขียนของผู้เขียนมีน้ำหนักแน่นขึ้นไปอีก ผู้เขียนขอยกตัวอย่างสำคัญอีกสองตัวอย่างดังนี้
ตัวอย่างแรก
ในพระไตรปิฎก เล่ม 19 สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค หัวข้อนีวรณสูตร พระพุทธเจ้าได้กล่าวถึงนิวรณ์ 5 กับโพชฌงค์ 7 นิวรณ์ 5 ก็รู้กันทั่วๆ ไปว่าเป็นเครื่องกั้นคุณความดี สำหรับโพชฌงค์ 7 นั้น เป็นหัวข้อธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ซึ่งก็แสดงว่ามีความสำคัญมากเลยทีเดียว
ในนีวรณสูตรนี้ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า นิวรณ์ 5 ทำให้มืดเพราะ ไม่มีจักษุ และไม่มีญาณ/ความรู้ แต่โพชฌงค์ 7 นั้น กระทำสิ่งตรงกันข้ามกับนิวรณ์ 5 คือ ทำให้มีจักษุ ซึ่งก็หมายถึงว่า จักษุภายในเกิดขึ้น จึงมีการเห็นเกิดขึ้น เมื่อมีจักษุและการเห็นเกิดขึ้นแล้วญาณ/ความรู้ก็จึงเกิดขึ้น ด้วย ดังนี้
[501] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นิวรณ์ 5 เหล่านี้ กระทำให้มืด กระทำไม่ให้มีจักษุ กระทำไม่ให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความดับปัญญา เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น ไม่เป็นไปเพื่อ นิพพาน.............................................................
[502] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้ กระทำให้มีจักษุ กระทำให้มีญาณ เป็นที่ตั้งแห่งความเจริญปัญญา ไม่เป็นไปในฝักฝ่ายแห่งความคับแค้น เป็นไปเพื่อนิพพาน
จากนิวรณสูตรดังกล่าว การปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะเป็นสมถกรรมฐานหรือวิปัสสนากรรมฐาน (เห็นแจ้ง) จะต้องมีการเห็นเกิดขึ้น ถ้าไม่มีการเห็นเกิดขึ้น ญาณ/ความรู้ที่ถูกต้องไม่มีโอกาสเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
พุทธวิชาการที่เขียนหรืออธิบายเกี่ยวญาณ/ความรู้ที่เกิดขึ้นจากสมถกรรม ฐานหรือวิปัสสนากรรมฐาน (เห็นแจ้ง) ที่ไม่มีการเห็นเกิดขึ้น จึงไม่มีทางเป็นไปได้อย่างเด็ดขาด มีโอกาสเป็นไปได้เพียงการเดา/การอนุมาน (infer) เท่านั้น
ตัวอย่างที่สอง
ตัวอย่างแรกนั้น เป็นกระบวนการในการที่จะตรัสรู้ซึ่งก็ต้องมีการเห็น ญาณ/ความรู้จึงเกิดขึ้น พระสูตรต่อไป ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ยืนยันอีกว่า จะต้องมีการเห็น คือ มีจักษุเกิดขึ้น จักษุนี้มีประสิทธิภาพดีกว่าตาเนื้อ
พระสูตรนี้กล่าวถึงความเป็นมาว่า มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อเวรัญชพราหมณ์ กล่าวหาว่า พระพุทธเจ้าทรงขาดสัมมาคารวะกับพราหมณ์ผู้ใหญ่ ซึ่งตามวัฒนธรรมประเพณีของอินเดียสมัยนั้น ผู้มีอายุน้อยกว่าต้องให้ความเคารพกับผู้มีอาวุโสกว่า
พระพุทธเจ้าก็ทรงอธิบายเปรียบเทียบการกระทำของพระองค์กับการฟักไข่ ว่าไก่ที่ออก มาทีหลังๆ นั้น จะต้องเรียกไก่ที่ฟักตัวแรกว่าพี่ พระองค์เป็นผู้ตรัสรู้ก่อนคนอื่น และนำมาสอน คนอื่นก็ต้องให้ความเคารพกับพระองค์
หลังจากนั้น พระองค์ก็ทรงบรรยายถึงเหตุการณ์ที่พระองค์ตรัสรู้วิชชา 3 วิชชาแรกก็คือปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือ การรู้จักระลึกชาติได้ แต่เป็นการระลึกชาติของตนเอง ต่อมาวิชชาที่สองคือ จุตูปปาตญาณ คือ การรู้จักระลึกชาติของคนอื่นได้ ซึ่งมีข้อความบางส่วนดังนี้
เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลัง จุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีตผิวพรรณดี มีผิวพรรณทรามได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดังนี้
จากข้อความดังกล่าว พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า พระองค์ทรงเห็นการเกิดของหมู่สัตว์ทั้งหลายด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ซึ่งมีคุณภาพดีกว่าจักษุของมนุษย์ นี่ก็หมายถึงว่า ในการระลึกชาติของพระองค์เองก็ต้องเห็นในลักษณะนี้
ถ้าอธิบายง่ายๆ ก็คือ เห็นเหมือนเราดูหนัง และเห็นภาพที่ชัดเจน ไม่ใช่นึกเอาแบบมัวๆ ซัวๆ หรือใช้หลักการของตรรกวิทยาคาดคะเนเอาว่า ควรจะเป็นเช่นใด ซึ่งไม่มีทางที่จะเห็นภาพใดๆ เลย
จากหลักฐานที่กล่าวทั้งหมดในส่วนนี้นั้น ก็เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่า สายปฏิบัติธรรมใดก็ตามที่ปฏิเสธการเห็นก็ไม่สามารถบรรลุพระอรหันต์ได้เลย ผลของการปฏิบัติธรรมของสายดังกล่าวเหล่านั้น ไม่ว่าจะเข้าใจผิดไปในระดับใด บางท่านคิดว่า ผู้ปฏิบัติธรรมแบบอื่นๆ นั้น บรรลุพระอรหนต์ไปแล้ว ก็เป็นเพียงผลของการปฏิบัติธรรมในระดับสมถกรรมฐานเท่านั้น
ต่อจากนั้นพระองค์ก็ทรงกล่าวถึงวิชชาสุดท้ายว่า
เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้นได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้อาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับอาสวะ ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ เมื่อเรานั้น รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ จิตได้หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ
ข้อความที่ว่า “รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้” ก็เป็นหลักฐานสำคัญว่า ในการพิจารณาหัวข้อธรรมะขั้นละเอียดลึกซึ้งจนถึงการบรรลุพระอรหันต์ต้องใช้ การเห็นเป็นสำคัญ พูดให้ง่ายเข้าก็คือ ทั้งเห็นทั้งรู้ และก็ทั้งรู้ทั้งเห็น จะรู้อย่างเดียวโดยปราศจากการเห็นไม่ได้ และจะเห็นอย่างเดียวโดยปราศจากการรู้ไม่ได้ เพราะ รู้อย่างนั้นไม่ใช่การรู้แจ้งเห็นจริง
โดยสรุป
การเห็นเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะเป็นสมถกรรมฐานหรือ วิปัสสนากรรมฐาน รวมถึงหัวข้อธรรมะในระดับสูง
ในการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าปฏิเสธการเห็นว่า ไม่ถูกต้อง ไม่จริง ก็เปรียบเสมือนกับคนที่มีตาพิการในโลกของเรานี้ ซึ่งไม่อาจจะเรียนรู้โลกได้ถูกต้อง เป็นจริงอย่างเช่นที่คนตาดีกระทำได้เลย
ถ้าไม่อาศัยการเห็น ก็ไม่สามารถจะทำให้ใจ/จิต/วิญญาณ เบื่อหน่ายในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณได้ เมื่อใจ/จิต/วิญญาณไม่เบื่อหน่ายในขันธ์ห้า ความกำหนัด ก็ไม่สิ้นไป ใจ/จิต/วิญญาณก็ไม่สามารถพ้นภพสามไปได้ การบรรลุพระอรหันต์ก็ไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้...
บทความในชุดเดียวกัน